การแข่งขันฟุตบอลรายการหลักแต่ละรายการในยุโรปเริ่มทยอยประกาศวันที่จะกลับมาทำการแข่งขันกันต่อแล้ว หลังจากที่ต้องหยุดแข่งไปเมื่อช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากในภาวะโควิด-19 ระบาดนั้น ฟุตบอลถือเป็นอีกกีฬาที่มีความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการปะทะกันในสนามแข่ง รวมไปถึงผู้ชมบนอัฒจันทร์จำนวนหลายหมื่นที่มีโอกาสทำให้เชื้อถูกกระจายไปได้ในวงกว้าง
หลังจากที่หยุดแข่งไป จำนวนผู้ติดเชื้อในยุโรปก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้การกลับมาแข่งขันกันต่อแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในสภาวะที่ผู้คนออกจากบ้านกันไม่ได้ นักฟุตบอลต้องทำการฝึกซ้อมเพื่อรักษาสภาพร่างกายอยู่ที่บ้านตามตารางที่โค้ชฟิตเนสของแต่ละสโมสรจัดไว้ให้
พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งเป็นลีกที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดออกมาประกาศแล้วว่าจะกลับมาทำการแข่งขันต่อในวันที่ 17 มิ.ย. หรือในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า หากไม่มีสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
สำหรับคู่ที่ดูแล้วมีความเสี่ยงที่แฟนบอลจะรวมตัวกันบริเวณใกล้สนาม ก็พร้อมที่จะทำการย้ายไปเตะสนามเป็นกลาง โดยเฉพาะในเกมที่ลิเวอร์พูลมีโอกาสที่จะชูถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีอย่างเกมเมอร์ซี่ย์ไซด์ดาร์บี้ ที่ทางตำรวจออกมาแถลงว่าอยากให้ย้ายไปแข่งที่เมืองแมนเชสเตอร์แทน
แต่สำหรับบุนเดสลีกา เยอรมัน คงไม่ต้องกังวลว่าจะเจอปัญหาแบบเดียวกัน เพราะหลังจากกลับมาเริ่มแข่งขันต่อตั้งแต่ 16 พ.ค. ผ่านไป 4 นัด บาเยิร์น มิวนิค ทำสถิติชนะรวด โดยหนึ่งในนั้นเป็นการบุกไปเฉือนชนะอันดับ 2 อย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ 1-0 ทำให้พวกเขานำห่าง 7 คะแนนในขณะที่เหลืออีก 5 นัดให้ลงเล่นเท่านั้น
การตัดสินใจแข่งขันต่อของลีกเมืองเบียร์กลายเป็นแบบอย่างให้ลีกอื่นได้เห็นแนวทางการปฏิบัติที่ช่วยลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อ ทั้งการแข่งแบบไร้ผู้ชม มีการเตรียมหน้ากากอนามัยให้นักเตะสวมใส่ทันทีเมื่อถูกเปลี่ยนตัวออก รวมถึงลดการสัมผัสในช่วงต่าง ๆ นอกเหนือจากจังหวะของการแข่งขันในสนาม
ทางด้านกัลโช เซเรีย อา ของอิตาลี ซึ่งเป็นลีกสูงสุดลีกแรกที่พบว่ามีนักเตะติดเชื้อโควิด-19 ก็ประกาศว่าจะกลับมาทำการแข่งขันเกมลีกกันต่อในวันที่ 20 มิ.ย. และจะไปสิ้นสุดลงในวันที่ 3 ส.ค.
โดยก่อนหน้านั้นจะมีเกมฟุตบอลถ้วย โคปปา อิตาเลีย รอบรองชนะเลิศเลกสองในวันที่ 13-14 มิ.ย. และรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 17 มิ.ย. ทำการแข่งขันกันก่อนทั้งสิ้น 3 คู่
ปัจจุบันทีมจ่าฝูงอย่างยูเว่มีแต้มนำลาซิโอเพียง 1 คะแนนเท่านั้น ในขณะที่เหลือ 12 นัดให้แข่งกันต่อ ถือว่าการขับเคี่ยวทั้งตำแหน่งแชมป์ โควต้าฟุตบอลยุโรป รวมถึงการหนีตกชั้นยังคงเข้มข้นทั้งหมด
ส่วนลาลีกา สเปน นั้นสองทีมใหญ่ บาร์เซโลนา และ เรอัล มาดริด ยังคงเบียดกันมาอย่างคู่คี่สูสีเช่นกัน โดยยอดทีมแห่งแคว้นคาตาลันมีคะแนนนำอยู่เพียง 2 คะแนนเท่านั้น หากนัดใดก็ตามพวกเขาเกิดแพ้ขึ้นมาและมาดริดเก็บ 3 แต้มเต็มได้ก็จะเสียตำแหน่งจ่าฝูงทันที
ลีกแดนกระทิงดุได้ประกาศตารางการแข่งขันทั้งซีซั่นออกมาแล้ว โดยจะแข่งขัน 11 นัดที่เหลือในวันที่ 11 มิ.ย. – 19 ก.ค. ซึ่งนับแล้วใช้เวลาเพียง 5 สัปดาห์เท่านั้น
แต่ลีกที่ตัดสินใจต่างออกไปก็คือ ลีกเอิง ฝรั่งเศส ที่ประกาศจบฤดูกาลเมื่อวันที่ 30 เม.ย. และใช้แต้มเฉลี่ยต่อเกมในการจัดอันดับ ส่งผลให้ปารีส แซงต์ แชร์กแมง คว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ไป และเป็นการได้แชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 3 ติดต่อกันของพวกเขา